วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

9 เรื่องรวย ช่วยเงินทำงาน

วันนี้นำเสนอ   9 เรื่องรวย ช่วยเงินทำงาน......ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ

1. ตั้งเป้าหมายการเก็บเงิน ถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ เงินทองซื้อหาได้ และเป็นความสุขสูงสุดของชีวิต เป้าหมายจะเป็นสิ่งล่อใจให้คุณมีความมุมานะ และยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แม้ในที่สุดแล้ว คุณจะมาได้แค่ครึ่งทาง แต่ก็ยังดีกว่าเก็บเงินแบบสะเปะสะปะ

2. วางแผนการเก็บเงินแบบช่วงสั้น และช่วงยาว แผนระยะสั้น เป็นเหมือนเส้นประที่ต่อเนื่องสู่เป้าหมายระยะยาว ข้อดีของการแบ่งแผนเป็นช่วงสั้นๆ คือทำให้คุณมีกำลังใจ และสามารถเก็บคะแนนแห่งชัยชนะได้ง่าย และบ่อย จากนั้นทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

3. ใช้น้อยกว่าที่หามาได้วิธีการดีที่สุด ที่ทำให้คุณมีเงินมากกว่า การหาเงินเก่ง และใช้เก่งคือการทำรายจ่าย ให้น้อยกว่ารายได้ เพราะจะทำให้คุณมีเงินเหลือ สำหรับความฝันที่ยิ่งใหญ่ และมั่นคง

4. จดบันทึกรายจ่าย พกสมุดเล่มเล็กติดตัว
แล้วจดทุกรายจ่าย แม้เพียงเฟื้องสลึงให้เป็นนิสัย แล้วคุณจะเห็นว่าคุณใช้จ่าย กับเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นไปมากแค่ไหน

5. เก็บเงินด้วยกรมธรรม์ ทำประกันชีวิตในแบบที่ไม่ถอน
และให้ดอกเบี้ยสูง เมื่อครบกำหนดการจ่ายค่า ประกันรายปี วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณได้สะสมเงินแกมบังคับ แถมยังอุ่นใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินว่าคนที่คุณรัก จะไม่ลำบาก ข้อสำคัญ  อย่าเลือกประกันที่วงเงินสูงเกินไป เอาแค่ให้คุณผ่อนจ่าย สะสมเงินแบบสบายๆ แม้เมื่อตกงาน

6. เสียน้อยดีกว่าเสียมาก การเสียน้อยคือการลดรายจ่าย
ดังนั้นควรทำประกันเสริม แบบคุ้มครองรายปี จากประกันชีวิตตัวหลัก เช่น ซื้อประกันคุ้มครองมะเร็งที่มีค่าเบี้ยแค่วันละ 30 บาท แต่ออกค่ารักษาให้ หลายหลักแสน ซื้อประกันค่ารักษาพยาบาลที่ช่วยออกค่าห้องในโรงพยาบาลวันละเป็นพัน หรือประกันภัยโปรแกรมที่ช่วยจ่ายค่าชดเชยรายได้

7. ลงทุนแบบไม่เดือดร้อน การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง
ดังนั้นคุณจึงควรเลือกเวลา ที่เหมาะสมนั่นคือ เริ่มปันเงินมาลงทุน หลังจากที่สะสมเงินเก็บได้ 6 เท่าของเงินเดือน เงินส่วนที่เกินในเวลานั้น ค่อยเอามาสร้างผลกำไรภายหลัง

8. โลภน้อย…ผลพลอยได้แน่นอนกว่า
ถ้าคุณไม่มีความชำนาญในการลงทุนด้านการเงิน ควรเลือกหากำไร จากผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อาจจะได้เงินเพิ่มไม่มาก แต่ก็ไม่เสียต้นทุน อย่างการซื้อพันธบัตร ที่ออกโดยรัฐบาล ซึ่งมีการประกันราคาชำระตามเวลาที่แน่นอน หรือการซื้อสลากออมสิน ฝากเงินกับธนาคาร ที่ไม่ทำให้ทุนหาย แถมยังมีโอกาสได้เงินปันผล และโบนัสรางวัลจากความโชคดี

9.ทำกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ ถ้าซื้อเพื่อธุรกิจ ควรเลือกสถานที่สะดวกสบาย ใกล้การคมนาคม ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว และรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการมีสาธารณูปโภคสมบูรณ์ มีระบบจัดการบำรุงดูแลที่ดี และจะดีมาก ถ้าโครงการนั้นเป็นแบบที่สร้างเสร็จแล้วขาย เพราะสามารถปล่อยเช่าได้ทันที ก่อนตัดสินใจควรคำนวณค่าเช่าให้พอดี หรือมากกว่า ค่าผ่อนส่งต่องวด ถ้าคุณกู้ธนาคาร






ที่มา  http://th.88db.com/th/Knowledge/Knowledge_Detail.page/Business_Services/?kid=3513

เคล็ดลับวิธีรวยที่พวกเศรษฐีไม่ยอมบอก

บทที่ 1 สร้างรากฐาน
1. อย่าปล่อยให้ "ความอยากรวย" บดบังสติ
2. กล้าฝันกลางวันอย่างอิสระ
3. มั่นใจตนเองแบบไม่หลับหูหลับตา
4. ไตร่ตรองด้วยสติอันเยือกเย็น
5. ใช้จินตนาการสร้างความเป็นได้
ฯลฯ

บทที่ 2 ลับฝีมือ
10. ทำงานตามแผนการ แต่ไม่พึ่งแผนการมากไป
11. รู้จักใช้บุคลากรที่คนอื่นไม่ใช้
12. อย่าเล่นลิ้นตีสำนวน
13. แรกสร้างตัว อย่าเลือกกิจการที่เงียบเหงา
14. ทำอย่างไร จึงจะมีเวลามากกว่าคนอื่น 1 เท่า
15. ใช้ข้าราชการให้เป็นประโยชน์ โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของข้าราชการ
ฯลฯ

บทที่ 3 วิธีใช้
20. ต้องมีความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัว
21. ปฏิบัติต่อลูกค้าดุจมิตรสหาย
22. ใช้ความคลั่งไคล้ของคนอื่นให้เป็นประโยชน์
23. เปลี่ยนขยะเป็นของวิเศษ
24. เปลี่ยนใจบ้างจะเป็นไร ?
ฯลฯ
 
 
นี่เป็นเพียงแค่หัวข้อของหนังสือ  เคล็ดลับวิธีรวยที่พวกเศรษฐีไม่ยอมบอก  
 
ผู้เขียน เฉิน สุวี้กวง 
แปล อธิคม สวัสดิญาณ

สามารถหาซื้อได้ที่นี่เลยครับ www.se-ed.com  
เล่มละ 150 บาท
 

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคเกรด A


ก่อนอื่นในการจะเรียนวิชาบัญชี หรือวิชาใด ๆ เพื่อที่จะได้เกรด A นั้น
ในบางมหาวิทยาลัยผู้เรียนจะเลือกอาจารย์สอนได้ เลือกเวลาเรียนได้ (จัดตารางเรียนเอง นะค่ะ)
มีข้อเสนอแนะว่า
           1.  เลือกอาจารย์ที่เคยเรียนด้วยจะดีที่สุด
           2. เลือกเรียนบัญชี ตอนเช้า  เพราะจะได้ไม่ง่วง  เป็นเวลาที่สดชื่นที่สุดเนื่องจากได้พักผ่อนมาแล้วทั้งคืน และปลอดโปร่ง ที่สุด
เมื่อเลือกได้แล้วดู
           1. จุดประสงค์รายวิชา
           2. ได้หนังสือมาแล้ว ควรอ่านคร่าว   ทั้งเล่มหรือ ดูสารบัญ จะได้รู้ว่าในหนังสือมีอะไรบ้าง
           ถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านคำนำ เพราะ หนังสือในแต่ละเล่มจะบอกว่ามีอะไรบ้างในเนื้อหา ก็ดูที่คำนำของแต่ละเล่มของหนังสือ นี้แหละ
ตอนเข้าเรียนควรปฏิบัติดังนี้
           1. เตรียมตัวก่อนเรียน เตรียมอย่างไรบ้าง
              - อ่านเนื้อหาที่จะเรียนมาก่อน
              - เน้นข้อความที่ไม่เข้าใจ หรือทำเป็นสัญลักษณ์ใด ๆ ก็ได้ให้สะดุดตาไว้ เมื่อถึงตอนเรียน หากอาจารย์พูดถึงเรื่องนั้น ๆ หากไม่เข้าใจจะได้สามารถถามอาจารย์ ได้ตรงประเด็น
           2. เวเลาเรียน จดตามอาจารย์พูด( ลงในหนังสือเรียนเลย กันลืม กันหาย หากจดใส่กระดาษอาจกระจัดกระจายพอถึงเวลาจะอ่านก็ไม่เจอพอดี)
           3. สงสัยสิ่งใด ถามเลย
               - ไม่เข้าใจถาม
               - ฟังไม่ทันบอก (ขอให้อาจารย์อธิบายใหม่ ?  ดูอาจารย์ด้วยนะค่ะ ว่าตอนนั้น จอยหรือไม่)
           4. การบ้านทำเองหมด ห้ามลอกเด็ดขาด
      คนที่เรียนบัญชีจะให้เก่งต้องขยันที่แบบฝึกหัด เพราะเวลาสอบโจทย์จะไม่ได้ลอกมาจากในหนังสือ  จะมีเฉพาะหลักการที่เหมือนในหนังสือ หากจำหลักการ ได้แล้วจากการดู ทำการบ้าน จากโจทย์หลาย
สถานการณ์ข้อสอบมันก็มีหลักการเดียวกัน เพียงแต่เปลียนแค่ สถานการณ์ ตัวละคร ในโจทย์เท่านั้น
บัญชีไม่ได้มีแค่ตัวเลข หากต้องรู้ที่มาของตัวเลข วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ในสถานะการณ์หรือเหตุการที่แตกต่างกัน นั้นคือการวิเคราะห์รายการค้าให้ได้นั้นเอง
           5. เวลาสอบ จะสัมพันธ์กับประเด็นดังนี้
             -การเลือกอาจารย์สอน
             -จุดประสงค์รายวิชา
             -การทำแบบฝึกหัด
             -ตอนเรียน กับอาจารย์เราจดอะไรไปบ้าง  นั้นแหละข้อสอบ
เมื่อรู้ทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว ถึงตอนสอบเราไม่จำเป็นต้องไปเปิดอ่านหนังสือทุก ๆ คำ ทุก ๆบรรทัด ทุก ๆตอน หรือทุก ๆ หน้า หรอก
เมื่อรู้แนวคิด จุดประสงค์ และเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยในตอนเรียนที่อาจารย์ให้จดแล้วนั้น ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับผู้เขียนเองมองว่า การที่ได้เกรด A ทุกวิชานั้น ใช้ว่าจะรู้ทุกเรื่อง ทุกเนื้อหาในหนังสือหรอก เพียงแต่รู้แค่ว่าจุดประสงค์ของรายวิชาที่เรียนนั้นคืออะไร บวกกับการรู้แนวการออกข้อสอบของอาจารย์  และการรู้จักอ่านหนังสือให้ตรง   เท่านั้นเกรด A  ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเอื้อมเลย
ฉนั้นการเรียนได้เกรด A ก็ไม่ได้แปลว่า เก่งทุกเรื่อง หรือรู้ทุกเรื่องเลย
เพียงแต่เค้า ทำคะแนนได้ตามจุดประสงค์ของรายวิชานั้น ๆ หรือตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น
และหากนอกเหนือจากเกณฑ์ เค้าอาจกลายเป็นบุคคลที่ไม่รู้คนหนึ่งก็เป็นได้เช่นกัน

"ปล. ทั้งหมดเป็นเพียงข้อคิดของผู้เขียนเท่านั้นซึ่งอาจไม่ตรงกับความคิดเห็นของ อีกหลาย ๆ คน หรือหากผิดพลาดประการใดก็ขอคำเสนอแนะด้วยค่ะ"



เครดิต : คุณพิมพ์นารี 

ความคิด ของ คนจน และ คนรวย

เป็นคลิปวีดีโอที่สามารถบรรยายได้กระจ่างครับ
แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่หละคนครับ ^^

10 นาทีสำหรับ "ความจริงที่ โรงเรียนไม่เคยสอน"


17 ข้อคิด..คนรวย/คนจน

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด 
17 ข้อคิด..คนรวย/คนจน
17 ข้อคิดจากหนังสือ ไขความลับสมองเงินล้าน




1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

 ร้อยทั้งร้อยก็จะคิดแบบนี้ทั้งหมู่บ้าน อิอิ

2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
ข้อนี้แล้วแต่อารมณ์มั้ง ... บางทีก็หนีตายเหมือนกัน แต่หลังๆ วิน วิน ...

3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย
อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจแหะ ... อ๋อ คีย์ มันคือ "ทุ่มเท"กับ"อยาก" นี่เองอ่อ เก็ทๆ ...

4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก
ก็ทุนมันเล็ก...แต่ใจมันใหญ่ ฮ่าๆ

5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค
เออจริง ตนเองก็เป็นแหะ อันนี้เป็นคนจนแหะ ... มองแต่ปัญหา ...


6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบ ความสำเร็จ
นี่เลย กำลังปรับปรุงตัวใหม่ ข้อนี้พอดีเลย เมื่อก่อนก็เป็นนะ โรคหมั่นไส้คนรวย เปลี่ยนทัศนคติเพื่อวันข้างหน้า ^^


7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคน ที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
ต้องพิจารณาข้อนี้ไม่เคยคิด มิตรคือมิตร ไม่สบความสำเร็จหรือประสบความสำเร็จ
ยังไง ... ก็ มิตร หละ ...


8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
เออ จริง ... อันนี้ก็เป็นคนจน ...

9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
คล้ายๆข้อ 5 นะ ...

10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่
ขึ้นอยู่กับว่ารับอะไรนะ ...

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
เห้ออ


12. คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
อันนี้ ธรรมดาของมนุษย์ส่วนใหญ่ เลือกสองทางอยู่แล้ว ...


13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
เลยเลิกทำงาน นั่งมองทรัพย์สินตัวเองอย่างเดียว

14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ
ถ้าตัดเรื่องกินเบียร์ได้ รวยไปแล้วป่านนี้ ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน
อืมๆ ...

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
อืมๆ ...

17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
เป็นลักษณะตัวเองอยู่แล้ว ... นี่นา ... ยกเว้นนิสัยอย่างอื่นนะ ... ฮ่าๆๆ




แถม อีกข้อ

18. คนรวยมีความอดทนในสิ่งที่ถูก คนจนอดทนในสิ่งที่ไม่ควรอดทน 

ก็จริงนะ แฮ่ๆ

 

ไขความลับสมองเงินล้าน" แปลจาก "Secrets of the Millionaire Mind" เขียน
ขอขอบคุณที่มาครับ

เทคนิคการเรียนให้เก่ง

เทคนิคการเรียนให้เก่ง

พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆจากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง
จาก การวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้
-เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
-เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
-เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
-มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
-ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ
-การเรียนที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้คือ
-ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
-ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
-ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
-ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
-อย่าใช้การสอบเป็นนแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
-ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
-เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
-พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
-ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
-ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
-พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
-ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
-เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี
-จากการวิจัยเรื่องลักษณะการอ่านหนังสือหลายๆคนมักจะทำกันอย่างนี้
-อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
-ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
-อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่ง นักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว

Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาใด้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ
-พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
-พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
-ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentrate)
-จัดลำดับเรี่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
-ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
-มีการทบทวน (repettition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม
-เทคนิคการอ่านหนังสือ โดย อ.พรทิพย์ ศรีสุรักษ์
-สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆในเล่มทั้งหมด
-อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
-ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ใหน เมื่อไหร่ อย่างไร
-ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
-พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
-ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ

หลัก SQ3R เพื่อช่วยให้การอ่านตำราประสบความสำเร็จมีดังนี้
S:servey คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q:question คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R:read แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R: recall แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R:reviewหมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้
นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย
-อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
-ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน12ชม.
-ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเมอ
-พยายามเรียนให้มากๆและอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
-เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื่อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
-ทำการซ้ำหลายๆหน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และ
-การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น

วิธีเรียนให้เก่ง


   ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
   ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
   ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
   ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
   ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
   ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
   ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการ




ดีจึงบอกต่อครับ ขอขอบคุณที่มาครับผม


Permalink : http://www.oknation.net/blog/hason

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

43 ข้อคิดดีๆเพื่อสิ่งดีๆในชีวิต ^^!

  1. อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
  2. ดูแลบิดา มารดาให้ดี มีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มีท่าน
  3. เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
  4. ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
  5. สิ่งที่แข็งที่สุด เอาชนะได้ด้วยสิ่งที่อ่อนที่สุด
  6. เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานหนึ่งก็เปิด แต่บ่อยครั้งที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด จนไม่ทันเห็นว่ามีอีกบานเปิดอยู่
  7. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้   คุณเอง
  8. อารมณ์ ขันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้ เพราะทันทีที่เกิดอารมณ์ขัน ความรำคาญและความขุ่นข้องจะจางหายไป กลับกลายเป็นความแจ่มใสของจิตใจเข้ามาแทนที่
  9. อย่ากลัว ที่จะนั่งหยุดพัก เพื่อคิด
  10. 1 นาทีที่คุณโกรธ เท่ากับว่าคุณได้สูญเสีย 60 วินาทีแห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว
  11. หนทางเดียวที่จะรักษาภาพพจน์ได้คือการซื่อสัตย์ตลอดเวลา
  12. Oxygen สำคัญต่อปอดฉันใด ความหวังก็เป็นฉันนั้นต่อความหมายของชีวิต
  13. ความอดทน คือ เพื่อสนิทของสติปัญญา
  14. ในธรรมชาติไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง ต้นไม้อาจบิดเบี้ยวโค้งงออย่างประหลาด แต่ก็ยังคงความงดงาม
  15. จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ที่ทำอยู่มีผลดีผลเสียมีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
  16. อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
  17. อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์เพียงผ่านๆ อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
  18. รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่ ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
  19. อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
  20. อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา  แต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้
  21. ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
  22. อย่าเห็นแก่ตัว จงเป็นฝ่ายให้มากกว่ารับ
  23. คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้จักที่จะพูด
  24. คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้ ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่หรือเปล่า? ถ้ามีก็กลับไปหาซะ
  25. อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด
  26. ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณเอง?
  27. มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนลงในหนังสือ ลองค้าคว้าดูเองแล้วจะรู้
  28. ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง
  29. ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า?
  30. หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง เราลืมอดีตไม่ได้แต่เราเลิกคิดได้
  31. บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ “เลวร้าย” เสมอไป
  32. สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือเรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ ลองกลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี
  33. ไม่มีมิตรถาวร และศัตรูที่แท้จริง
  34. จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา
  35. เมื่อคิดจะทำอะไร หากคิดมากไป แล้วเมื่อใดจะได้ลงมือทำ
  36. อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป โดยที่ยังไม่พยายาม
  37. หากอยากประสบความสำเร็จ จงทำงานที่ตัวเองถนัด อย่าหวังพึ่งพาผู้อื่น
  38. งานหนักเพียงใด หากทำด้วยใจและความสุข เราแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
  39. จิตจะสงบได้อย่างไร หากมัวแต่ใส่ใจคำพูดของคนอื่น
  40. มองโลกในแง่ดี ชีวิตจะมีความสุข
  41. ทำอะไรจงทำให้ดี เพราะจะไม่มีคำว่าเสียใจในสิ่งที่ทำ
  42. ความกตัญญู คือ คุณค่าของคนที่น่านับถือ
  43. จงทำตัวให้มีประโยชน์ต่อสังคมและแผ่นดิน