วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

9 เรื่องรวย ช่วยเงินทำงาน

วันนี้นำเสนอ   9 เรื่องรวย ช่วยเงินทำงาน......ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ

1. ตั้งเป้าหมายการเก็บเงิน ถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ เงินทองซื้อหาได้ และเป็นความสุขสูงสุดของชีวิต เป้าหมายจะเป็นสิ่งล่อใจให้คุณมีความมุมานะ และยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน แม้ในที่สุดแล้ว คุณจะมาได้แค่ครึ่งทาง แต่ก็ยังดีกว่าเก็บเงินแบบสะเปะสะปะ

2. วางแผนการเก็บเงินแบบช่วงสั้น และช่วงยาว แผนระยะสั้น เป็นเหมือนเส้นประที่ต่อเนื่องสู่เป้าหมายระยะยาว ข้อดีของการแบ่งแผนเป็นช่วงสั้นๆ คือทำให้คุณมีกำลังใจ และสามารถเก็บคะแนนแห่งชัยชนะได้ง่าย และบ่อย จากนั้นทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

3. ใช้น้อยกว่าที่หามาได้วิธีการดีที่สุด ที่ทำให้คุณมีเงินมากกว่า การหาเงินเก่ง และใช้เก่งคือการทำรายจ่าย ให้น้อยกว่ารายได้ เพราะจะทำให้คุณมีเงินเหลือ สำหรับความฝันที่ยิ่งใหญ่ และมั่นคง

4. จดบันทึกรายจ่าย พกสมุดเล่มเล็กติดตัว
แล้วจดทุกรายจ่าย แม้เพียงเฟื้องสลึงให้เป็นนิสัย แล้วคุณจะเห็นว่าคุณใช้จ่าย กับเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นไปมากแค่ไหน

5. เก็บเงินด้วยกรมธรรม์ ทำประกันชีวิตในแบบที่ไม่ถอน
และให้ดอกเบี้ยสูง เมื่อครบกำหนดการจ่ายค่า ประกันรายปี วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณได้สะสมเงินแกมบังคับ แถมยังอุ่นใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินว่าคนที่คุณรัก จะไม่ลำบาก ข้อสำคัญ  อย่าเลือกประกันที่วงเงินสูงเกินไป เอาแค่ให้คุณผ่อนจ่าย สะสมเงินแบบสบายๆ แม้เมื่อตกงาน

6. เสียน้อยดีกว่าเสียมาก การเสียน้อยคือการลดรายจ่าย
ดังนั้นควรทำประกันเสริม แบบคุ้มครองรายปี จากประกันชีวิตตัวหลัก เช่น ซื้อประกันคุ้มครองมะเร็งที่มีค่าเบี้ยแค่วันละ 30 บาท แต่ออกค่ารักษาให้ หลายหลักแสน ซื้อประกันค่ารักษาพยาบาลที่ช่วยออกค่าห้องในโรงพยาบาลวันละเป็นพัน หรือประกันภัยโปรแกรมที่ช่วยจ่ายค่าชดเชยรายได้

7. ลงทุนแบบไม่เดือดร้อน การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง
ดังนั้นคุณจึงควรเลือกเวลา ที่เหมาะสมนั่นคือ เริ่มปันเงินมาลงทุน หลังจากที่สะสมเงินเก็บได้ 6 เท่าของเงินเดือน เงินส่วนที่เกินในเวลานั้น ค่อยเอามาสร้างผลกำไรภายหลัง

8. โลภน้อย…ผลพลอยได้แน่นอนกว่า
ถ้าคุณไม่มีความชำนาญในการลงทุนด้านการเงิน ควรเลือกหากำไร จากผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อาจจะได้เงินเพิ่มไม่มาก แต่ก็ไม่เสียต้นทุน อย่างการซื้อพันธบัตร ที่ออกโดยรัฐบาล ซึ่งมีการประกันราคาชำระตามเวลาที่แน่นอน หรือการซื้อสลากออมสิน ฝากเงินกับธนาคาร ที่ไม่ทำให้ทุนหาย แถมยังมีโอกาสได้เงินปันผล และโบนัสรางวัลจากความโชคดี

9.ทำกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ ถ้าซื้อเพื่อธุรกิจ ควรเลือกสถานที่สะดวกสบาย ใกล้การคมนาคม ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว และรถไฟฟ้าใต้ดิน โครงการมีสาธารณูปโภคสมบูรณ์ มีระบบจัดการบำรุงดูแลที่ดี และจะดีมาก ถ้าโครงการนั้นเป็นแบบที่สร้างเสร็จแล้วขาย เพราะสามารถปล่อยเช่าได้ทันที ก่อนตัดสินใจควรคำนวณค่าเช่าให้พอดี หรือมากกว่า ค่าผ่อนส่งต่องวด ถ้าคุณกู้ธนาคาร






ที่มา  http://th.88db.com/th/Knowledge/Knowledge_Detail.page/Business_Services/?kid=3513

เคล็ดลับวิธีรวยที่พวกเศรษฐีไม่ยอมบอก

บทที่ 1 สร้างรากฐาน
1. อย่าปล่อยให้ "ความอยากรวย" บดบังสติ
2. กล้าฝันกลางวันอย่างอิสระ
3. มั่นใจตนเองแบบไม่หลับหูหลับตา
4. ไตร่ตรองด้วยสติอันเยือกเย็น
5. ใช้จินตนาการสร้างความเป็นได้
ฯลฯ

บทที่ 2 ลับฝีมือ
10. ทำงานตามแผนการ แต่ไม่พึ่งแผนการมากไป
11. รู้จักใช้บุคลากรที่คนอื่นไม่ใช้
12. อย่าเล่นลิ้นตีสำนวน
13. แรกสร้างตัว อย่าเลือกกิจการที่เงียบเหงา
14. ทำอย่างไร จึงจะมีเวลามากกว่าคนอื่น 1 เท่า
15. ใช้ข้าราชการให้เป็นประโยชน์ โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของข้าราชการ
ฯลฯ

บทที่ 3 วิธีใช้
20. ต้องมีความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัว
21. ปฏิบัติต่อลูกค้าดุจมิตรสหาย
22. ใช้ความคลั่งไคล้ของคนอื่นให้เป็นประโยชน์
23. เปลี่ยนขยะเป็นของวิเศษ
24. เปลี่ยนใจบ้างจะเป็นไร ?
ฯลฯ
 
 
นี่เป็นเพียงแค่หัวข้อของหนังสือ  เคล็ดลับวิธีรวยที่พวกเศรษฐีไม่ยอมบอก  
 
ผู้เขียน เฉิน สุวี้กวง 
แปล อธิคม สวัสดิญาณ

สามารถหาซื้อได้ที่นี่เลยครับ www.se-ed.com  
เล่มละ 150 บาท
 

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคเกรด A


ก่อนอื่นในการจะเรียนวิชาบัญชี หรือวิชาใด ๆ เพื่อที่จะได้เกรด A นั้น
ในบางมหาวิทยาลัยผู้เรียนจะเลือกอาจารย์สอนได้ เลือกเวลาเรียนได้ (จัดตารางเรียนเอง นะค่ะ)
มีข้อเสนอแนะว่า
           1.  เลือกอาจารย์ที่เคยเรียนด้วยจะดีที่สุด
           2. เลือกเรียนบัญชี ตอนเช้า  เพราะจะได้ไม่ง่วง  เป็นเวลาที่สดชื่นที่สุดเนื่องจากได้พักผ่อนมาแล้วทั้งคืน และปลอดโปร่ง ที่สุด
เมื่อเลือกได้แล้วดู
           1. จุดประสงค์รายวิชา
           2. ได้หนังสือมาแล้ว ควรอ่านคร่าว   ทั้งเล่มหรือ ดูสารบัญ จะได้รู้ว่าในหนังสือมีอะไรบ้าง
           ถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านคำนำ เพราะ หนังสือในแต่ละเล่มจะบอกว่ามีอะไรบ้างในเนื้อหา ก็ดูที่คำนำของแต่ละเล่มของหนังสือ นี้แหละ
ตอนเข้าเรียนควรปฏิบัติดังนี้
           1. เตรียมตัวก่อนเรียน เตรียมอย่างไรบ้าง
              - อ่านเนื้อหาที่จะเรียนมาก่อน
              - เน้นข้อความที่ไม่เข้าใจ หรือทำเป็นสัญลักษณ์ใด ๆ ก็ได้ให้สะดุดตาไว้ เมื่อถึงตอนเรียน หากอาจารย์พูดถึงเรื่องนั้น ๆ หากไม่เข้าใจจะได้สามารถถามอาจารย์ ได้ตรงประเด็น
           2. เวเลาเรียน จดตามอาจารย์พูด( ลงในหนังสือเรียนเลย กันลืม กันหาย หากจดใส่กระดาษอาจกระจัดกระจายพอถึงเวลาจะอ่านก็ไม่เจอพอดี)
           3. สงสัยสิ่งใด ถามเลย
               - ไม่เข้าใจถาม
               - ฟังไม่ทันบอก (ขอให้อาจารย์อธิบายใหม่ ?  ดูอาจารย์ด้วยนะค่ะ ว่าตอนนั้น จอยหรือไม่)
           4. การบ้านทำเองหมด ห้ามลอกเด็ดขาด
      คนที่เรียนบัญชีจะให้เก่งต้องขยันที่แบบฝึกหัด เพราะเวลาสอบโจทย์จะไม่ได้ลอกมาจากในหนังสือ  จะมีเฉพาะหลักการที่เหมือนในหนังสือ หากจำหลักการ ได้แล้วจากการดู ทำการบ้าน จากโจทย์หลาย
สถานการณ์ข้อสอบมันก็มีหลักการเดียวกัน เพียงแต่เปลียนแค่ สถานการณ์ ตัวละคร ในโจทย์เท่านั้น
บัญชีไม่ได้มีแค่ตัวเลข หากต้องรู้ที่มาของตัวเลข วิเคราะห์ความเป็นไปได้ ในสถานะการณ์หรือเหตุการที่แตกต่างกัน นั้นคือการวิเคราะห์รายการค้าให้ได้นั้นเอง
           5. เวลาสอบ จะสัมพันธ์กับประเด็นดังนี้
             -การเลือกอาจารย์สอน
             -จุดประสงค์รายวิชา
             -การทำแบบฝึกหัด
             -ตอนเรียน กับอาจารย์เราจดอะไรไปบ้าง  นั้นแหละข้อสอบ
เมื่อรู้ทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว ถึงตอนสอบเราไม่จำเป็นต้องไปเปิดอ่านหนังสือทุก ๆ คำ ทุก ๆบรรทัด ทุก ๆตอน หรือทุก ๆ หน้า หรอก
เมื่อรู้แนวคิด จุดประสงค์ และเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยในตอนเรียนที่อาจารย์ให้จดแล้วนั้น ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับผู้เขียนเองมองว่า การที่ได้เกรด A ทุกวิชานั้น ใช้ว่าจะรู้ทุกเรื่อง ทุกเนื้อหาในหนังสือหรอก เพียงแต่รู้แค่ว่าจุดประสงค์ของรายวิชาที่เรียนนั้นคืออะไร บวกกับการรู้แนวการออกข้อสอบของอาจารย์  และการรู้จักอ่านหนังสือให้ตรง   เท่านั้นเกรด A  ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเอื้อมเลย
ฉนั้นการเรียนได้เกรด A ก็ไม่ได้แปลว่า เก่งทุกเรื่อง หรือรู้ทุกเรื่องเลย
เพียงแต่เค้า ทำคะแนนได้ตามจุดประสงค์ของรายวิชานั้น ๆ หรือตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น
และหากนอกเหนือจากเกณฑ์ เค้าอาจกลายเป็นบุคคลที่ไม่รู้คนหนึ่งก็เป็นได้เช่นกัน

"ปล. ทั้งหมดเป็นเพียงข้อคิดของผู้เขียนเท่านั้นซึ่งอาจไม่ตรงกับความคิดเห็นของ อีกหลาย ๆ คน หรือหากผิดพลาดประการใดก็ขอคำเสนอแนะด้วยค่ะ"



เครดิต : คุณพิมพ์นารี 

ความคิด ของ คนจน และ คนรวย

เป็นคลิปวีดีโอที่สามารถบรรยายได้กระจ่างครับ
แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่หละคนครับ ^^

10 นาทีสำหรับ "ความจริงที่ โรงเรียนไม่เคยสอน"


17 ข้อคิด..คนรวย/คนจน

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด 
17 ข้อคิด..คนรวย/คนจน
17 ข้อคิดจากหนังสือ ไขความลับสมองเงินล้าน




1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"

 ร้อยทั้งร้อยก็จะคิดแบบนี้ทั้งหมู่บ้าน อิอิ

2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
ข้อนี้แล้วแต่อารมณ์มั้ง ... บางทีก็หนีตายเหมือนกัน แต่หลังๆ วิน วิน ...

3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย
อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจแหะ ... อ๋อ คีย์ มันคือ "ทุ่มเท"กับ"อยาก" นี่เองอ่อ เก็ทๆ ...

4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก
ก็ทุนมันเล็ก...แต่ใจมันใหญ่ ฮ่าๆ

5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค
เออจริง ตนเองก็เป็นแหะ อันนี้เป็นคนจนแหะ ... มองแต่ปัญหา ...


6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบ ความสำเร็จ
นี่เลย กำลังปรับปรุงตัวใหม่ ข้อนี้พอดีเลย เมื่อก่อนก็เป็นนะ โรคหมั่นไส้คนรวย เปลี่ยนทัศนคติเพื่อวันข้างหน้า ^^


7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคน ที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
ต้องพิจารณาข้อนี้ไม่เคยคิด มิตรคือมิตร ไม่สบความสำเร็จหรือประสบความสำเร็จ
ยังไง ... ก็ มิตร หละ ...


8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
เออ จริง ... อันนี้ก็เป็นคนจน ...

9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
คล้ายๆข้อ 5 นะ ...

10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่
ขึ้นอยู่กับว่ารับอะไรนะ ...

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
เห้ออ


12. คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
อันนี้ ธรรมดาของมนุษย์ส่วนใหญ่ เลือกสองทางอยู่แล้ว ...


13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
เลยเลิกทำงาน นั่งมองทรัพย์สินตัวเองอย่างเดียว

14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ
ถ้าตัดเรื่องกินเบียร์ได้ รวยไปแล้วป่านนี้ ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน
อืมๆ ...

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
อืมๆ ...

17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
เป็นลักษณะตัวเองอยู่แล้ว ... นี่นา ... ยกเว้นนิสัยอย่างอื่นนะ ... ฮ่าๆๆ




แถม อีกข้อ

18. คนรวยมีความอดทนในสิ่งที่ถูก คนจนอดทนในสิ่งที่ไม่ควรอดทน 

ก็จริงนะ แฮ่ๆ

 

ไขความลับสมองเงินล้าน" แปลจาก "Secrets of the Millionaire Mind" เขียน
ขอขอบคุณที่มาครับ

เทคนิคการเรียนให้เก่ง

เทคนิคการเรียนให้เก่ง

พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆจากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง
จาก การวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้
-เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
-เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
-เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
-มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
-ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ
-การเรียนที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้คือ
-ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
-ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
-ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
-ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
-อย่าใช้การสอบเป็นนแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
-ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
-เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
-พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
-ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
-ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
-พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
-ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
-เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี
-จากการวิจัยเรื่องลักษณะการอ่านหนังสือหลายๆคนมักจะทำกันอย่างนี้
-อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
-ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
-อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่ง นักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว

Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาใด้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ
-พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
-พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
-ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentrate)
-จัดลำดับเรี่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
-ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
-มีการทบทวน (repettition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม
-เทคนิคการอ่านหนังสือ โดย อ.พรทิพย์ ศรีสุรักษ์
-สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆในเล่มทั้งหมด
-อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
-ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ใหน เมื่อไหร่ อย่างไร
-ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
-พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
-ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ

หลัก SQ3R เพื่อช่วยให้การอ่านตำราประสบความสำเร็จมีดังนี้
S:servey คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q:question คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R:read แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R: recall แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R:reviewหมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้
นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย
-อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
-ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน12ชม.
-ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเมอ
-พยายามเรียนให้มากๆและอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
-เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื่อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
-ทำการซ้ำหลายๆหน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และ
-การท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น

วิธีเรียนให้เก่ง


   ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ-สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
   ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
   ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
   ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
   ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา-วิสัชนา หรือถาม-ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
   ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
   ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำให้ได้ความรู้มาก ต่างจากการท่องหนังสือ โดยไม่มีคำถาม บางคำถามเมื่อค้นหาคำตอบทุกวิถีทางจนหมด แล้วก็ไม่พบ แต่ถามยังอยู่ และมีความสำคัญ ต้องหาคำตอบต่อ ไปด้วยการ




ดีจึงบอกต่อครับ ขอขอบคุณที่มาครับผม


Permalink : http://www.oknation.net/blog/hason

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

43 ข้อคิดดีๆเพื่อสิ่งดีๆในชีวิต ^^!

  1. อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
  2. ดูแลบิดา มารดาให้ดี มีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มีท่าน
  3. เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
  4. ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
  5. สิ่งที่แข็งที่สุด เอาชนะได้ด้วยสิ่งที่อ่อนที่สุด
  6. เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานหนึ่งก็เปิด แต่บ่อยครั้งที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด จนไม่ทันเห็นว่ามีอีกบานเปิดอยู่
  7. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้   คุณเอง
  8. อารมณ์ ขันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้ เพราะทันทีที่เกิดอารมณ์ขัน ความรำคาญและความขุ่นข้องจะจางหายไป กลับกลายเป็นความแจ่มใสของจิตใจเข้ามาแทนที่
  9. อย่ากลัว ที่จะนั่งหยุดพัก เพื่อคิด
  10. 1 นาทีที่คุณโกรธ เท่ากับว่าคุณได้สูญเสีย 60 วินาทีแห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว
  11. หนทางเดียวที่จะรักษาภาพพจน์ได้คือการซื่อสัตย์ตลอดเวลา
  12. Oxygen สำคัญต่อปอดฉันใด ความหวังก็เป็นฉันนั้นต่อความหมายของชีวิต
  13. ความอดทน คือ เพื่อสนิทของสติปัญญา
  14. ในธรรมชาติไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง ต้นไม้อาจบิดเบี้ยวโค้งงออย่างประหลาด แต่ก็ยังคงความงดงาม
  15. จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ที่ทำอยู่มีผลดีผลเสียมีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
  16. อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
  17. อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์เพียงผ่านๆ อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
  18. รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่ ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
  19. อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
  20. อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา  แต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้
  21. ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
  22. อย่าเห็นแก่ตัว จงเป็นฝ่ายให้มากกว่ารับ
  23. คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้จักที่จะพูด
  24. คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้ ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่หรือเปล่า? ถ้ามีก็กลับไปหาซะ
  25. อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด
  26. ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณเอง?
  27. มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนลงในหนังสือ ลองค้าคว้าดูเองแล้วจะรู้
  28. ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง
  29. ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า?
  30. หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง เราลืมอดีตไม่ได้แต่เราเลิกคิดได้
  31. บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ “เลวร้าย” เสมอไป
  32. สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือเรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ ลองกลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี
  33. ไม่มีมิตรถาวร และศัตรูที่แท้จริง
  34. จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา
  35. เมื่อคิดจะทำอะไร หากคิดมากไป แล้วเมื่อใดจะได้ลงมือทำ
  36. อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป โดยที่ยังไม่พยายาม
  37. หากอยากประสบความสำเร็จ จงทำงานที่ตัวเองถนัด อย่าหวังพึ่งพาผู้อื่น
  38. งานหนักเพียงใด หากทำด้วยใจและความสุข เราแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
  39. จิตจะสงบได้อย่างไร หากมัวแต่ใส่ใจคำพูดของคนอื่น
  40. มองโลกในแง่ดี ชีวิตจะมีความสุข
  41. ทำอะไรจงทำให้ดี เพราะจะไม่มีคำว่าเสียใจในสิ่งที่ทำ
  42. ความกตัญญู คือ คุณค่าของคนที่น่านับถือ
  43. จงทำตัวให้มีประโยชน์ต่อสังคมและแผ่นดิน

10 หนทางสู่ความสำเร็จจากนักธุรกิจ



     เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง ได้จัดงานเปิดตัวหนังสือ ทรัมป์ 101 หนทางสู่ความสำเร็จ ของ โดนัล เจ.ทรัมป์ ใน งานดังกล่าวได้เชิญแขกรับเชิญผู้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน มาถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามแบบฉบับของตนเอง ซึ่งในเนื้อหาการเสวนาดังกล่าวมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่หลายประการ
 
  โดยนักธุรกิจที่มากประสบการณ์คนแรกที่จะมาเปิดเผยเคล็ดลับในการทำงานให้ประสบความสำเร็จของเขานั้นมีอะไรบ้าง คือ ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป กล่าว ถึงแนวคิดในการทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างเช่นในทุกวันนี้ว่า กว่าที่จะมาถึงวันนี้เขาเคยล้มเหลวมาหลายครั้ง และเคยท้อถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่โชคดีที่รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย แถมเรียนไม่เก่ง ด้วยความที่ชีวิตไม่มีความพร้อมเลยสักอย่าง จึงทำให้ต้องมีมานะอดทน และต้องขยันให้มากกว่าคนอื่น เขาทำงานตั้งแต่เวลา 07.00-20.00 น. ต้องทำงานให้มากกว่าคนอื่นจะได้รู้มากกว่าคนอื่น เชื่อว่าถ้ามีมานะอดทน มุ่งมั่น แล้วแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ ก็จะประสบความสำเร็จได้ ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ หลังจากล้มเหลวมาเมื่อสมัยหนุ่มๆ หลังจากนั้นเขาขอเวลาตัวเองลุกขึ้นสู้อีกครั้งเมื่อวัยเกือบ 30 ปี เป็นเวลาหลายปีกว่าที่เขาจะเริ่มประสบความสำเร็จได้ เพราะความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า อยากได้ต้องสร้างเอาเอง ดังนั้น คาถาประจำใจของ ตัน ภาสกรนที ก็คือ
   1. มุ่งมั่น ขยัน อดทน
   2. มีทัศนคติในเชิงบวก
   3. เชื่อมั่นในตนเอง
   4. แสวงหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
   5. ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก

   คนต่อมาคือนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่มาแรงที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คือ ดาราหนุ่ม โก้-ธีรศักดิ์ พันธุจริยา เจ้าของธุรกิจ โครี่ ซีรั่ม ที่ เปิดเผยถึงมุมมองและแนวทางในการดำเนินธุรกิจ จากจุดเริ่มต้นที่แตกต่างสู่ตำแหน่งผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ ในวัยไม่ถึง 30 ปี กล่าวว่า เขาเองก็เกิดมาในครอบครัวปานกลางไม่ได้ร่ำรวย ดังนั้นก็ต้องช่วยตัวเองพอสมควร โดยมีแนวคิดในการทำงานว่า
   1. ต้องทุ่มเทให้มาก
   2. ภาวะผู้นำต้องมีอยู่เสมอ
   3. คิดให้ใหญ่ ฝันให้ไกล อย่าพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่
   4. แสวงหาความรู้อยู่เสมอ
   5. อย่าติดกับความสบาย ถ้ารักสบายจะนิ่งอยู่กับที่

   นอกจากนี้ ในการเสวนายังได้นำเนื้อหาบางส่วนของหนังสือมากล่าวถึงอย่างน่าสนใจว่า การจะประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจนั้น แค่ความคิดดีๆ และการทุ่มเทให้กับการทำงานหนักยังไม่พอ คุณต้องมั่นใจ มั่นคง หนักแน่น ไม่ย่อท้อ ใฝ่รู้ ยืดหยุ่น กระตือรือร้น อดทน และรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณเกิดมาพร้อมคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นแค่เพียงไม่กี่ข้อ อย่าเพิ่งท้อใจไป อีกไม่กี่ข้อที่เหลือคุณสามารถสร้างเองได้ และต้องสร้างให้ได้ โดยสามารถเรียนรู้จากหนังสือ How To ต่างๆ หรือเรียนลัดจากนักธุรกิจที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว
1.อย่าเสียเวลากับงานที่คุณไม่รัก
   ถ้า จะให้ดีต้องเริ่มทำงานจากสิ่งที่รักเสียก่อน เลือกทำเฉพาะสิ่งที่รักเท่านั้นแล้วจะได้เปรียบ มีความสุขในสิ่งที่เลือกแล้ว หากได้ทำงานที่รักจะรู้สึกมีความสุข มีความกระฉับกระเฉง และทำมันได้ดีขึ้นๆ เพราะเหมือนกับการได้ฉีดสารกระตุ้นจากความกระตือรือร้นและความปรารถนาอัน แรงกล้าในตัวเอง คุณจะไม่รู้สึกว่าคุณกำลังทำงาน และสร้างแรงจูงใจให้ทำงานได้อย่างสุดความสามารถทีเดียว
   ทรัมป์เองได้เคยกล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า ความรู้สึกรักหรือหลงใหลในสิ่งที่กำลังทำ คือสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างยาวนาน จาก ประสบการณ์ของเขาเองนั้น มันทำให้เขารู้ถึงความสำคัญในข้อนี้ได้ดี เพราะถ้าไม่ชื่นชอบในสิ่งที่ทำ ในที่สุดจะล้มเหลวไม่เป็นท่า หรืออย่างดีที่สุดก็คือคุณจะกลายเป็นแค่คนทำงานธรรมดาๆ เท่านั้น จะไม่ได้ชีวิตการทำงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าได้ทำงานที่รัก ชอบ ความทุ่มเทสุดตัวก็เกิดขึ้น ทำงานให้เต็มที่เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ทำงานที่ยิ่งใหญ่ เพราะความรู้สึกหลงใหลในสิ่งที่ทำจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ทำให้งานประสบ ความสำเร็จ คุณจะไม่ยอมแพ้และรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
2.ตั้งมาตรฐานให้สูง
   ถามตัวเองว่าอะไรคือมาตรฐานของสิ่งที่ต้องการให้ใครๆ รู้จัก บอก ตัวเองให้ได้ว่ามาตรฐานนั้นอยู่ตรงไหน และทำให้ได้ตามนั้น อย่าหลอกตัวเอง จงตั้งมาตรฐานให้สูงเข้าไว้ แล้วใช้เวลาไตร่ตรองสิ่งที่มุ่งหน้าจะทำ เปิดกว้างรอ รับความคิดเห็นใหม่ๆ และสิ่งที่จะมากระทบ สิ่งที่คาดหวังต้องยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่คงที่ตายตัว ค้นให้พบว่าใครหรืออะไรที่เป็นสุดยอดในสายตาของคุณ ใครคือผู้นำ ใครคือผู้กำหนดแนวทาง ใครคือผู้ทรงอิทธิพล อะไรคือสาเหตุที่พวกเขาเป็นที่หนึ่งได้ ศึกษามาตรฐานของเขา
   หาให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ หรือต้องทำเพื่อให้กลายเป็นที่หนึ่งในสายงานที่สนใจ หาทางที่จะเข้าอบรม พบปะผู้คน ไปเป็นเด็กฝึกงาน หาประสบการณ์ที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะทำเป้าหมายให้ลุล่วงได้ ให้เวลาตัวเองที่จะรับทุกอย่างเข้ามา ค่อยๆ เพิ่มพูนและรู้จักมันอย่างทะลุปรุโปร่ง มองหาแนวคิดดีๆ จากนอกสายงานที่ถนัด หาสิ่งแปลกใหม่ วิธีใหม่ๆ และฝึกฝนจนสามารถปรับมันให้เข้ากับสายงานของคุณได้
   ทรัมป์ได้แนะนำไว้ว่า “ใน ทุกสิ่งที่คุณกำลังดำเนินอยู่ ถามตัวเองว่า ฉันจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร ฉันจะให้มีคนพูดถึงฉันมากกว่านี้ได้อย่างไร จะทำให้มันสะท้อนส่วนที่ดีกว่าของฉันได้อย่างไร ถ้าหาคำตอบได้ครบจากนั้นก็ลุยเลย”
3.ดื้อดึงสู้ตาย อย่าย่อท้อ
 
   แม้ ว่าคุณจะไม่ได้เกิดขึ้นมาจากกองเงินกองทองก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดการไปให้ได้ ไกลที่สุด จงยอมรับและชื่นชมแม้ว่าคุณจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ลองหาข้อดีให้เจอแล้วทำให้เป็นข้อได้เปรียบ เช่น มีการศึกษาที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีความแน่วแน่ มุ่งมั่น ไม่ลดละ คุณสมบัติเหล่านี้ก็มากพอที่จะช่วยให้สำเร็จได้
4.หากไร้ซึ่งความรู้ ความสามารถ ก็หมดโอกาส
   จงไขว่คว้าหาความรู้ เรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้จากแต่ละโครงการที่คุณรับผิดชอบ หากเข้ามาในสนามการทำงานที่ไม่รู้มากพอ จะเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา เปรียบเหมือนการแข่งกีฬาโดยไม่รู้กติกาของเกม คุณจะมีแต่เสียเปรียบ ศึกษาธุรกิจของตัวเองให้รอบด้าน ทุกธุรกิจมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงจะน้อยลงมากหากเรียนรู้ทุกด้านของสิ่งที่กำลังทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แสวง หาความรู้ให้มากเพื่อจะได้ตัดสินใจได้ดีขึ้นและกลายเป็นคนเก่งขึ้นได้ในที่ สุด ใครก็อยากคุยกับคนเก่งมากกว่า เมื่อเป็นคนมีความรู้คุณจะกลายเป็นคนน่าสนใจและได้รับความเอาใจใส่มากขึ้น จงเริ่มแต่เนิ่นๆ และหมั่นศึกษาอยู่เสมอไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ หรือจะประสบความสำเร็จแค่ไหน เมล็ดพันธุ์แห่งความรู้เติบโตได้ในทุกแห่งหน
5.ทำงานกับคนที่คุณชอบ
   หาก เราได้ทำงานกับคนที่เราชื่นชอบเราจะรู้สึกมีความสุขมากขึ้น และทำให้อายุการทำงานในสถานที่นั้นๆ นานขึ้น หลายคนชื่นชอบในหัวหน้างาน เจ้าของบริษัท และทำงานอยู่ด้วยกันเป็น 10 ปี หรือ 20 ปี ถ้าไม่ศรัทธาในกันและกันคงทนกันไม่ได้นานขนาดนี้ ดังนั้นให้กำหนดตัวอย่างในการทำงานและสรรหาบุคคล เพื่อที่คุณจะได้ดึงดูดคนที่เหมาะสม นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ทำงานกับคนที่ชอบ องค์กรส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีความหลากหลาย ซึ่งดีกว่ามีคนที่มีพื้นฐานเหมือนกันไปหมด ความแตกต่างดังกล่าวนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และเพิ่มความเข้าใจให้กับงาน
6.จงว่ายทวนน้ำ
   พื้นที่ ที่สะดวกสบายมากเกินไปสามารถลากคุณให้ลงไปสู่จุดที่อยู่ใต้น้ำได้ เพราะเผลอกับความสบายมากเกินไป ดังนั้นกระแสไฟของคุณอาจไหลดีขึ้นหากเปลี่ยนเต้าเสียบเสียใหม่ให้ลงตัวกว่า เดิม มันง่ายที่จะเดินตามเส้นทางสายเก่าและไม่ก่อคลื่นลูกใหม่ แต่วิธีง่ายที่สุดสามารถทำให้เรากลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีไฟไปได้ แค่นั่งหวังลมๆ แล้งๆ ว่าทุกอย่างจะดีขึ้นจะกลายเป็นการดับฝันคุณได้ ไม่เป็นไรถ้าคุณไม่ชอบความท้าทาย ความสบายจะกลายเป็นหลุมพรางที่หลอกล่อให้อยู่กับที่ มันทำให้ขี้เกียจ ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า แต่ในโลกธุรกิจความสบายใจจะฉุดรั้งให้หยุดอยู่กับที่ อย่ากลัวที่จะเสี่ยง ทำสิ่งที่คุณรักและชอบแล้วกำหนดทิศทางของคุณเอง ถาม ตัวเองเสมอๆ ว่ากำลังทำสิ่งที่คุณรัก อยากทำ และมันคือสิ่งที่ใช่สำหรับคุณหรือเปล่า ไม่ต้องสนใจความคาดหวังของคนอื่นแต่สู้กับความต้องการของตัวเอง แต่ก่อนตัดสินใจให้ดูสถานการณ์ให้ดีก่อนทุ่มเทไปอย่างเต็มตัว
7.เงินไม่ใช่บรรทัดสุดท้ายเสมอไป
 
   ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเราส่วนใหญ่ต้องการหาเงินกันทั้งนั้น แต่ก็ยังมีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญไม่แพ้เงิน หรือสำคัญกว่า เช่น แรงกระตุ้นและความพอใจที่เราได้จากการทำงาน รวมทั้งความท้าทายของมัน การได้สร้างโอกาสที่จะเรียนรู้ เติบโต และติดต่อกับคนที่โดดเด่น เพราะการเดินทางสายอาชีพของเรานั้นเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะทำให้คุณมีอะไร ทำไปตลอดชีวิต จงสร้างอนาคตและใคร่ครวญถึงวัตถุประสงค์มากกว่าแค่ก้มหน้าก้มตาหาเงินอย่าง เดียว คิดถึงชื่อเสียงของคุณ และบริษัทของคุณ หาเพื่อนใหม่ สร้างความสัมพันธ์กับองค์กรและชุมชน ลงทุนกับความพอใจส่วนตัวที่งานสามารถนำมาให้ได้ คนที่คิดว่าเงินบันดาลทุกสิ่ง อาจถูกมองว่าทำทุกอย่างเพื่อเงิน
8.รอจังหวะที่เหมาะสม
   ความสำเร็จในชีวิตหรือหน้าที่การงานในหลายๆ ครั้ง เป็นเรื่องของจังหวะและความอดทน เพราะจังหวะคือทุกสิ่ง ทุกวันนี้มีบริษัทคู่แข่งมากมายที่ทำธุรกิจเดียวกับคุณ แต่การมาอย่างถูกจังหวะย่อมดีกว่าการเป็นรายแรกเสมอไป เช่นเดียวกับการเลือกโอกาสที่เหมาะสม เพราะวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจก็คือทำให้สินค้าติดตลาดขายดีและอยู่รอด ถ้าคิดว่าทำให้เร็วก็อาจจะไปเร็วได้เช่นกัน ฉะนั้นจงรอคอยจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมด้วย คิดถึงแผนระยะยาว มีความอดทนและทำงานอย่างมีวินัย
9.หลีกเลี่ยงรูปแบบที่ตายตัว
   รู้จัก เปิดกว้างและยืดหยุ่นในการทำงาน บ่อยครั้งที่ต้องทำงานอย่างมุ่งมั่นและดันทุรังบ้าง แต่คุณต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยน และเมื่อไหร่ควรยืดหยุ่นได้ ถ้าจะทำเฉพาะสิ่งที่ตายตัวมันอาจจำกัดตัวคุณ และอนาคต ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ และไม่มีอะไรที่เป็นไปตามแผนทั้งหมด ดังนั้นหากมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง อย่างที่มันน่าจะเกิด ก็ต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลง และบางครั้งอาจต้องวกกลับเลยก็ได้
10.ความเร็วชนะในการแข่งขัน
   ทุกธุรกิจไม่มีเวลามากพอสำหรับคนที่พูดจาเรื่อยเปื่อยไม่เข้าประเด็น ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จงทำให้สั้น กระชับ ฉับไว และตรงประเด็น การพูดจาที่สั้นกระชับได้ใจความเป็นวิธีที่สุภาพ เพราะมันแสดงว่าคุณให้เกียรติ เวลาของคนอื่น เพราะเวลาที่คนต้องฟังอะไรที่ยืดยาวไม่ได้ความ จะทำให้เขาอึดอัด เบื่อหน่าย และมีหลายครั้งพวกเขาไม่ฟังสิ่งเหล่านั้นเลย กำหนดระยะเวลาให้ตัวคุณเอง ฝึกนำเสนองานหรือรายงานให้จบได้ภายใน 5 นาที ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด พูดให้ตรงประเด็น ถ้ามีคำถามพวกเขาจะถามคุณเอง ข้อมูลมากมายแต่ไม่ได้ใช้ก็ไม่มีสาระอะไร
   ที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 10 ข้อนี้ น่าจะเป็นแนวทางพอให้คุณนำไปปฏิบัติและเห็นหนทางที่จะไปสู่ความสำเร็จได้ชัดเจนมากขึ้นได้


เงินออมวันนี้เพื่อชีวิตที่สุขสบายในวันข้างหน้า

ในระยะนี้จะได้ยินแต่เสียงบ่นถึงข้าวของราคาแพงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะ หมู ไข่ และอาหาร ซึ่งเป็นความเดือดร้อนของประชาชนที่รอรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาค่าครองชีพตาม ที่ได้ให้สัญญาไว้ เป็นความยากลำบากต่อผู้ที่มีรายได้น้อยและมีรายได้ประจำนะคะ
   
แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ไม่อยากจะให้ลืมการออมเงินด้วย เงินที่หามาได้ควรกันเงินออมเอาไว้ก่อนเหลือแล้วจึงใช้จ่าย  เพราะถ้าจะให้เหลือจากการใช้จ่ายแล้วจึงออมรับประกันได้ว่ายากจะประสบความสำเร็จได้ การออมเงินนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อเป็นหลักประกัน ในวันที่เราเจ็บป่วยหรือไม่ได้ทำงาน จะ มากหรือน้อยอยากจะขอให้ออมด้วยนะคะ ตามแต่กำลังของตนเองซึ่งควรยึดเดินทางสายกลางกับการสร้างความสมดุลของการ บริโภคในวันนี้กับการบริโภคในอนาคตที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนจนเกินไป ในวันนี้ได้อ่านบทความที่ดีมาก จึงขอคัดลอกส่วนหนึ่งของบทความมาจากหนังสือออมก่อนรวยกว่า ของตลาดหลักทรัพย์ โดยคุณนวพร เรืองสกุล ซึ่งให้ข้อคิดการออมที่ดีมากที่มากสำหรับคนไทยในยุคปัจจุบัน  
  
    
เมื่อตั้งใจจะออมเงินกันแล้ว ก็ควรมีเป้าหมายเสียหน่อยว่าเราควรจะออมเงินสักเท่าใดดี ถึงจะมีพอเพียงที่จะอยู่ได้อย่างสบาย ๆ ในวัยชรา จะออมมากเกินไป ก็คงไม่น่าสบายเท่าใดนัก  ไม่อยากจะเป็นจอมขี้เหนียวมีเท่าใดก็เก็บให้หมด หรือว่าเป็นคนที่เบียดเบียนชีวิตปัจจุบันของตนเอง เพื่อความสบายในอนาคตเสียจนกระทั่งปัจจุบันไร้ความหมายไร้ความสุขหมดความ สบาย
   
การทำอะไรที่ตึงเกินไป ก็มีโอกาสว่าจะท้อถอยแล้วเลิกทำเสียกลางคันแล้วหันมาถือคติที่ว่า ใช้ให้หมด ๆ ไป เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมาถึงหรือไม่  ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการจะหย่อนเกินไป เก็บออมไว้น้อยเสียจนกระทั่ง เมื่อถึงวันที่รู้ตัวว่าต้องใช้เงินออม ก็มีเงินไม่พอใช้ เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ที่เขารู้จักเก็บออม แล้วก็นึกเสียใจและเสียดายว่า รู้เสียอย่างนี้เก็บเงินให้มากกว่านี้อีกหน่อยก็ดี
   
มีเงินต้นเท่าไรจึงจะพอ  มีคนให้สูตรมาว่าจะดูว่าเงินออมน่าจะพอเพียงหรือไม่ ให้ดูว่าตอนนี้มีเงินต้นอยู่สักเท่าใด เงินออมที่ควรจะมีอยู่ในมือแล้ว คือ ร้อยละ 10 ของเงินรายได้ทั้งปีคูณด้วยอายุในขณะนั้นของผู้ออม
   
1/10 X อายุ X รายได้ทั้งปี

   
ผู้อ่านหลายคนอาจจะตกใจว่าเรามีเงินออมน้อยนิดเดียว บางคนก็อาจจะดีใจว่ามีเงินออมมากมายเกินพอไปแล้ว เราต้องอย่าลืมคำนึงถึงด้วยว่า แต่ละคนมีวิธีถือทรัพย์สินที่ต่างกันด้วย  บางคนอาจจะเก็บเงินส่วนใหญ่ไว้ในสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น เงินฝากธนาคาร เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ หุ้น หรือตั๋วสัญญาใช้เงินต่าง ๆ แต่บางคนอาจมีที่ดินหลายแปลง หรือมีเครื่องประดับมีค่ามากมาย ก็ต้องนำทั้งหมดนี้มาคำนึงถึงด้วย 
   
ที่จะต้องไม่ลืมคิดเผื่อไว้ก็คือ เงินต่าง ๆ นี้สามารถสร้างรายได้ในอนาคตได้หรือไม่ และสามารถสร้างได้มากน้อยเพียงใด เพราะว่าในอนาคต แต่ละคนอาจจะมีทรัพย์สินมากน้อยเพียงใด นอกจากเงินต้นแล้วก็ต้องคำนึงถึงรายได้ที่จะเพิ่มพูนขึ้นมาด้วย เช่น
    มีเงินออมเท่าไรจึงจะพอเพียง
   
ทราบหรือไม่ว่าขณะนี้คุณควรมีเงินออมเท่าไร เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณของตนเอง มีเงินใช้อย่างสบาย ๆ ในเรื่องนี้มีสูตรที่เป็นสากลและสามารถคำนวณได้ง่าย ๆ คือ
   
1/10 X  อายุ x เงินได้ทั้งปี
   
ตัวอย่างเช่น ถ้าขณะนี้คุณอายุ 25 ปี และได้รับเงินเดือนเดือนละ 10,000 บาท ดังนั้นในเวลานี้คุณควรจะมีเงินออมประมาณ 300,000 บาท (1/10  x 25 x 10,000 x 12)
   
หากใครยังมีเงินออมน้อยกว่าที่คำนวณได้ควรต้องรีบออมเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่สุขสบายในวันข้างหน้าครับ.

วิธีแก้ขอบตาดำ

 ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ขอบตาดำม๊าก เพราะสาเหตุเกิดจาพักผ่อนไม่เพียงพอ
นั่นเองครับเหตุเพราะเราเป็นคนกลางคนนี่เอง555+จะว่างั้นก็ไม่ได้หรอกครับ ต่อให้วันที่ไม่ต้องไปทำงานกลางคืนผมก็ไม่นอนครับไม่รู้ว่าทำอะไรเหมือนกันวันๆ ฮ่าๆ


วิธีแก้ขอบตาดำ




วิธีที่ 1 สับมันฝรั่งห่อด้วยผ้าขาวบางนำมาวางบนเปลือกตาทุกเช้าจะช่วยลดลอยคล้ำได้

วิธีที่ 2 สำหรับคนที่นอนดึก ตาคงเป็นหมีแพนด้า อิอิเรามีวิธี่ช่วยคุนได้เพียงคุนน้ำเกลือ ที่ใช้ประจำเวลาทำกับข้าว

นำมาละนำสำลีมาจุ่มบิดพอหมาดๆๆมาแปะที่ตาแปงประจำเท่านี้ละค่ะรอบดำคล้ำใต้ตาจะค่อยจางลงจาวลง

วิธีที่ 3 ขั้นตอนที่1. นำผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น นำมาวางไว้บนหน้า ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเย็นจัด2. หลับตาลงแล้วใช้นิ้วกลางกดหางคิ้วทั้งสองข้าง3. ใช้นิ้วโป้ง กดเบ้าตาช่วงหัวตาค้างไว้สัก 5 วินาที ค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ทำซ้ำประมาณ 5 - 10 ครั้ง 4. ใช้นิ้วกลางกดสันจมูก ช่วงหัวตาค้างไว้ 5 วินาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยทำซ้ำ 5 - 10ครั้งเช่นเดิม

วิธีที่ 4 วิธีทำคือ นำเกลือ 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย ใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือสำลีชุบในน้ำเกลือ บีบน้ำออกเล็กน้อย (แบบไม่ชุบให้ชุ่มจนเกินไป) จากนั้นนำมาปิดตาทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที รอยช้ำรอบ ๆ ดวงตา ก็จะค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้


ปล.ส่วนตัวแล้วผมมักจะนิยมใช้วิธีที่ 4 ครับ เพราะมันสะดวกและง่ายมั๊กๆเห็นผลไวจริงๆเหลือเชื่อ ฮ่าๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพความดำ555ของแต่หละคนด้วยครับแต่ผมดำมากๆแล้วก็ดีขึ้นทุกครั้งที่ทำครับ ^^









สูตรการคบเพื่อน

สูตรการคบเพื่อน  

     ถ้าพูดถึงคำว่า "เพื่อน" แล้ว คุณคิดว่า คำนี้ มีความสำคัญต่อคุณมากแค่ไหน ? แล้วคำนิยามหล่ะ คุณให้คำจำกัดความว่าอย่างไร กับคำๆนี้ สำหรับหลายๆคน "เพื่อน" เปรียบเสมือนคนรู้ใจ คนสนิท คนที่เราสามารถพูดได้เวลามีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน เรื่องความรัก หรือปัญหาอื่นๆ นอกเหนือจากพ่อแม่แล้ว "เพื่อน " ก็คือคนที่ใกล้ชิดเรามากที่สุด อีกคนหนึ่งนั่นเอง
ความเป็นเพื่อนไม่จำเป็นต้องเลิศหรู เพียงแต่ คุณลองทำตามเคล็ดลับ ที่เรานำมาฝากกันนี้ มันก็จะทำให้คุณสามารถมีเพื่อนที่รู้ใจ แถมยังทำให้ตัวคุณก็สามารถ เป็นเพื่อนที่ดีของคนอื่นได้อีกด้วย

1. คอยเป็นกำลังใจ
เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณอยู่ใน สภาวะที่ไม่ค่อยปกตินัก เช่น เสียใจ หรือ กำลังร้องไห้ คนที่เขาอยากให้มาอยู่ใกล้ๆนั่นก็คือ คนที่สามารถทำให้เขาสบายใจ บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย มันก็สามารถทำให้เขารู้ว่าคุณก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน เพียงแต่คุณนั่งลง และบอกกับเขาว่า "ฉันจะอยู่ข้างๆเธอ" เพียงเท่านี้ เขาก็จะมีพลังที่จะจัดการกับอุปสรรคต่างๆได้ 

2. ยินดีในความสำเร็จ
เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณ ประสบความสำเร็จ คำพูดที่เขาอยากได้ยินจากคุณก็คือ "ดีใจด้วยนะ" เพียงประโยคเดียวเท่านี้ ก็สามารถต่อสายสัมพันธ์ ได้อีกยาวไกลเลย เพราะไม่ว่าใคร รวมถึง ตัวคุณเองก็ย่อมอยากได้กำลังใจจากคนรอบข้าง ใช่ไหมหล่ะ

3. อย่าถากถาง หรือ ซ้ำเติม
ในทางตรงกันข้าม ยามใดก็ตามที่เพื่อนของคุณก้าวพลาดไป อย่างแรกที่เขาต้องการนั่นคือกำลังใจ และคำปลอบโยน จากคุณเหมือนกัน เพื่อให้เขายังรู้สึกว่า มีใครบางคนที่เป็นห่วงเขาเหมือนกันนะ และยังพร้อมที่จะให้โอกาส เสมอ อย่างน้อยแค่ประโยคเดียว เพียงบอกเค้าว่า "เริ่มต้นใหม่ได้หน่ะ เพื่อน"
                                              
4. มอบความจริงใจ
เมื่อใดก็ตามที่คุณคบกับใครอยู่ คุณก็ต้องการได้ความจริงใจจากเขาใช่ไหม เมื่อใดก็ตามที่คุณอยากได้สิ่งใดจากผู้อื่น คุณต้องรู้จักการให้ในสิ่งนั้นก่อน ถ้าคิดอยากจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว เห็นทีจะไม่ไหว ต้องรู้จักป็นทั้งผู้ให้ และผู้รับต่างหาก

5. มีน้ำใจ
เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนของคุณต้องการ ความช่วยเหลือ สิ่งใดช่วยได้ ขอจงอย่าช้า รีบช่วยเหลือตามกำลัง และความสามารถที่คุณจะสามารช่วยเหลือเขาได้ แต่ต้องมาจากความจริงใจเป็นที่ตั้ง เพื่อให้เขารู้สึกว่าคุณคือเพื่อนแท้ของเขาในเวลาที่เขาไม่มีใคร

6. รู้จักให้อภัย
เมื่อใดก็ตามที่ความผิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือ เพื่อนของคุณก็ตาม อย่างแรกที่ คุณควรจะรู้จัก คือคำว่า "ขอโทษ" เพราะ สำหรับเพื่อนแล้ว คำขอโทษ เพียงคำเดียวก็สามารถต่อสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างคุณกับเพื่อนของคุณได้อย่างลงตัวที่สุดเลย

7. อย่าคิดว่าคุณไม่มีค่า
เมื่อใดก็ตามที่คุณ หรือเพื่อนของคุณมีความรู้สึกเช่นนี้ นั่นคือคุณไม่ยอมเปิดกว้างสำหรับมิตรภาพ ซึ่งจะทำให้คุณมองโลกในแง่ร้าย คุณควรจะเปิดตัวเอง ออกมารับรู้และยอมรับ คำว่าเพื่อนไม่มีใครดีหรือเลว เพียงแต่คุณต้องรู้จักการปรับตัว เข้าหาทั้งด้านดี และด้านเลวของคนนั้น ถูกบ้างผิดบ้าง ยังไง ก็ "เพื่อน" กันน่า...นะ 


ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น ที่จะทำให้คุณมีเพื่อนและสามารถเป็นเพื่อนที่ดีกับผู้อื่นได้ด้วย และเมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถช่วยเหลือเขาได้ บางทีค่าตอบแทน อาจจะไม่ใช่ แก้ว แหวน เงิน ทอง แต่คุณจะได้สิ่งที่ล้ำค่ากว่าสิ่งเหล่านั้น นั่นก็คือ คำว่า "เพื่อน" ไง  



ที่มา :  http://www.thaihomemaster.com

เพื่อนดีๆคือเพื่อนอย่างไร


คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง 
คอยฟัง ยามเพื่อนขอ 
คอยรอ ยามเพื่อนสาย 
คอยพาย ยามเพื่อนพัก 
คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์ 
คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ 
คอยง้อ ยามเพื่อนงอน 
คอยสอน ยามเพื่อนผิด 
คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ 
คอยเจอ ยามเพื่อนหา 
คอยลา ยามเพื่อนกลับ 
คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน 
คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว 
คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น 
คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน 
คอยหอน ยามเพื่อนเห่า 
คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ 
คอยอุบ ยามเพื่อนปิด 
คอยคิด ยามเพื่อนถาม 
คอยปราม ยามเพื่อนหลง 
คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง 
คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด 
คอยอด ยามเพื่อนทาน 
คอยคาน ยามเพื่อนล้ม 
คอยชม ยามเพื่อนชนะ 
คอยสละ ยามเพื่อนชอบ 


*บางอันบางข้อถ้ามากไปก็ไม่ดีนะครับ พอเหมาะพอดีจ้าทำอะไรก็นึกถึงใจตัวเองด้วยเด้อ โปรดใช้วิจารณญาณในการคิด 55555

ขอขอบคุณ Fw-mail [g..........@hotmail.com]

เพื่อนหนะหรอ ?


   เพื่อนหนะหรอ ?

คำว่าเพื่อนของผมก็คือคนที่รู้จักผมและค่อนข้างที่จะเคยใช้เวลาด้วยกันแค่รู้จักผมก็ถือว่าเป็นเพื่อนแล้วครับแต่ส่วนใครจะสนิทไม่สนิทก็ขึ้นอยู่ที่พฤติกรรมของเขาแต่ผมไม่ได้เลือกคบเพื่อนมากแค่เข้าใจกันก็โอเคแล้ว
ข้อห้ามในการคบเพื่อนของผมก็คือ จะไม่คบคนลักเล็กขโมยน้อย เคยเจอมาแล้วครับพอคนพวกนี้เข้ามาในกลุ่มเพื่อนเมื่อมีเหตุอะไรหายหละก็แน่นอนครับสายตาประชาชนต้องเหมารวมกลุ่มครับ...และคนที่ลับหลังมากเกินควรจะเป็นหรือนกสองหัวนั่นเองเพราะคนพวกนี้ดูๆแล้วไม่จริงใจครับ

ผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะครับแทบจะทุกซอกทุกซอย(เฉพาะโคราช55)เอาง่ายๆว่ามีปัญหาแถวไหนผมสามารถโทรให้เพื่อนช่วยได้เสมอผมมีเพื่อนหลายกลุ่มเช่น เพื่อนเรียน เพื่อนเล่น เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยวเพื่อนเตะบอล เพื่อนเล่นดนตรี . ผมเป็นคนสังคมเยอะ55+การเลือกคบเพื่อนของผมจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเพื่อนมีอิทธิพลต่อผม(นิดหน่อย)เพราะใครๆก็ต่างรู้ว่าวัยรุ่นสมันนี้ติดเพื่อนกันงอมแงม แต่ผมไม่ถึงขั้นนั้นการรักเพื่อนของผมก็คิดแบบ มาริโอ้ เมาเร่อ นั่นแหละ 555+(น่าเหมือนยังคิดเหมือนอีก)

“การรักเพื่อนไม่ใช่ต้องตามใจเพื่อนเสมอไป ถ้ามันผิดก็ต้องห้าม. เพื่อนมันไม่ได้คบแค่วัน สองวัน นะเว้ย! มันคบกันจนวันตาย“

เริ่มต้นง่ายๆอย่างแค่ถ้ามีเพื่อนหลงติดยาหรืออะไรที่มันไม่ดีหรือจะแค่สูบบุหรี่ก็เหอะผมเป็นหนึ่งคนที่ไม่เคยสนับสนุนเพื่อนเลยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าส่วนมากทุกคนย่อมเคยผ่านมาแล้วซึ่งแน่นอนถ้ามันดีจริงๆเขาก็คงไม่รณรงค์ต่อต้านยาเสพติดหรอกครับผมมักจะพูดเป็นประจำกับเพื่อนๆเสมอว่า " ถ้าพวกมึงดูดบุรี่จัดขนาดนี้ ตอนพวกเราอายุ 50 แมร่งก็อยู่ไม่พร้อมน่าพร้อมตาดิวะ  "

รักเพื่อนรักได้ครับแต่ยังไงก็ต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวอันดับหนึ่งเลยครับเพราะถึงแม้แฟนทิ้งเพือนทิ้งแต่บุคคลในครอบครัวไม่มีวันทิ้งเราแน่ครับอย่ามอบชีวิตมอบกายให้เพื่อนมากนะครับเพราะเรายังมีพ่อและแม่ที่ต้องดูแลคิดง่ายๆครับ อะไรไม่ดีก็เตือนกัน ไม่ยุยงไม่ฟันแทง ไม่สร้างปัญหาเราเองก็จะอยู่สบายเพื่อนก็แฮปปี้ ไม่ต้องกลัวว่าไม่เท่ห์ครับสมัยนี้มันไม่ใช่แล้วครับ 
คนเก่งอยู่ในคุกหมดแล้วครับ
สมัยนี้ยุคนี้คือยุคทองของวัยรุ่นครับทุกโอกาสเปิดกว้างขอให้เราไขว่คว้าไม่มีใครแข่งกันเป็นผู้ชนะในสนามรบแล้วครับ ทุกวันนี้มีแต่ผู้ชนะใจตัวเองเท่านั้นเราจึงจะอยู่รอดในสังคมได้ครับส่วนคนที่ยังคิดว่า"เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ใช้ชีวิตให้คุ้ม"ครับใช่ครับครั้งเดียวแต่คุ้มให้ถูกทางนะครับ ^^ 

      ..คน ที่เป็น เพื่อน                 ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาระดับเดียวกัน     ไม่จำเป็นต้องมีฐานะเท่าเทียมกันไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่        การงานเท่าเทียมกัน.. 


        เพื่อนที่รักเรา หาไม่ง่ายเลย ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีแล้ว     จงรักษา"เพื่อน"ไว้ให้ดีดี รักกันไว้ให้มากๆ ไม่มีอีกแล้ว       ถ้า เราเสียเพื่อนที่ดีไป เพียงเพราะ แค่เหตุผล โง่โง่ 


ขอขอบคุณ Fw-mail [g..........@hotmail.com]



วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แนะนำตัวครับผม

        ก่อนอื่นเลยต้องขอกราบสวัสดีทุกท่าน

                                     ^^!
     สวัสดีครับผมชื่อ บอย ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของรัฐบาล

ในโคราชครับผมเรียน การจัดการ (จัดการชีวิตตัวเอง 5555)

ผมเองก็ใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วๆไป ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากใครมากนัก

ส่วนชื่อ บล๊อก อะหรอ ชีวิตแบบบอยด์ๆ .. ก็ชีวิตในมุมของวัยรุ่นหรือแบบของผม

ในระหว่างที่ศึกษาผมเล่นดนตรีกลางคืนตามผับต่างๆทั้งในจังหวัดและ ตจว

ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามการบริหารเวลาอย่างถูกต้อง 555+ ไม่งั้นแย่แน่เพราะในวันๆนึง

ผมใช้เวลาอยู่บนรถนานถึง2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ แต่ก็ไม่ทุกวันเท่าไหร่นักแล้วแต่

ช่วงๆอาจงานเยอะบางช่วงก็งานน้อยแต่จะให้ทำยังไง นี่แหละครับ(เต้นกินรำกิน555)


สาเหตุที่ลงไม้ลงมือสร้างบล๊อกนี้เพราะปกติแล้วผมชอบอ่านชอบเขียน


ก็เลยลองดูไม่เสียหายได้อ่านมาเยอะแล้วก็ลองแลกเปลี่ยนดูบ้าง

เอาหละครับ..แนะนำตัวแค่พอเหมาะพอสมควรแค่นี้ก่อนละกันนะครับ

ปล. จุฟๆ